ร่างรัฐธรรมนูญทำให้เกิดปัญหามากกว่าทางออก รายงานฉบับใหม่ระบุ

02/08/2016
Rapport
en es fr th

(ปารีส กรุงเทพฯ) ร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติของไทยที่กำลังจะมีขึ้น เป็นผลมาจากกระบวนการที่กดขี่และอาจยิ่งทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น FIDH และองค์กรสมาชิกอย่างสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) กล่าวในการเผยแพร่รายงานวันนี้

ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 พลเมืองไทยจะได้ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติเพื่อให้ความเห็นว่าจะยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยรัฐบาลทหารของไทยหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศนับแต่ปี 2475 หรือไม่

รายงานของ FIDH/UCL " อุปสรรคขวางทางประชาธิปไตย – การกดขี่ในระบอบทหารและร่างรัฐธรรมนูญของไทย (Roadblock to democracy - Military repression and Thailand’s draft constitution )" เป็นข้อมูลเกี่ยวกับบรรยากาศของการกดขี่ที่คสช.สร้างขึ้น ในระหว่างกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ และวิเคราะห์ถึงมาตราที่เป็นปัญหามากที่สุดและมีลักษณะถอยหลังในร่างฉบับนี้ จากบทวิเคราะห์ รายงานให้ข้อสรุปว่า กรณีที่มีการให้ความเห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติ รัฐธรรมนูญนี้จะยิ่งทำให้เกิดปัญหากับเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยงานทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้น และในขณะเดียวกันได้ลดบทบาทของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตให้น้อยลง

“กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญภายใต้การจัดการของคสช. ได้สะท้อนเป็นเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ความชอบธรรมต่ออิทธิพลของทหารและชนชั้นนำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในระบบการเมืองของไทย การปราบปรามอย่างรุนแรงของคสช.เพื่อป้องกันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อร่างรัฐธรรมนูญ จะส่งผลให้ผลการลงคะแนนเสียงไม่ได้รับความเชื่อถือแม้จะมีการเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนี้”

คาริม ลาฮิดจี (Karim Lahidji), ประธานของ FIDH

ในช่วงไม่กี่เดือนก่อนจะถึงการออกเสียงประชามติ ทางการได้ใช้อำนาจตามประกาศคำสั่งของคสช.และกฎหมายที่กดขี่เพื่อคุกคาม ควบคุมตัว และดำเนินคดีต่อผู้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ 27 เมษายน ถึง 24 กรกฎาคม 2559 ทางการได้ควบคุมตัวโดยพลการต่อบุคคลอย่างน้อย 41 คนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์หรือรณรงค์ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ ทางการยังควบคุมตัวแกนนำอย่างน้อย 38 คนของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาล โดยตั้งข้อหาต่อความพยายามของกลุ่มที่จะจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารยังเข้าร่วมและสอดส่องในการอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างสม่ำเสมอ ในหลายกรณี ทางการสั่งให้ยกเลิกการจัดสัมมนาและอภิปรายเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และบางครั้งทางการยังได้แสดงท่าทีข่มขู่ผู้เข้าร่วมประชุม

ในขณะที่ทางการระงับการอภิปรายเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญต่อสาธารณะ แต่คสช.กลับใช้ทรัพยากรมากมายเพื่อรณรงค์สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ แม้มีข้อกำหนดให้หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการจัดเตรียมการออกเสียงประชามติต้องดำเนินการอย่างเป็นธรรม แต่การรณรงค์ของพวกเขาเพื่อเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ ได้ขาดความสมดุลทางการเมือง และปฏิบัติงานโดยใช้สองมาตรฐานรวมถึงความลำเอียง ท้ายสุดนี้ การที่คสช.ห้ามไม่ให้ผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วมสังเกตการณ์การออกเสียงประชามติ ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขามากขึ้นต่อความเป็นธรรมของกระบวนการนี้

“การออกเสียงประชามติได้ให้ผลประโยชน์ต่อรัฐบาลทหารฝ่ายเดียว ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นที่ยอมรับ คสช.ก็จะใช้ผลการออกเสียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอิทธิพลของตนต่อการเมืองไทย กรณีที่ร่างไม่ผ่าน รัฐบาลทหารก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จปกครองสังคมไทยต่อไป และทำให้เกิดความล่าช้ามากขึ้นต่อการคืนอำนาจให้กับรัฐบาลของพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย”

ดร.จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ประธานสสส

ติดต่อ : Mr. Arthur Manet (ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน) – โทรศัพท์ : +33672284294 (ปารีส)

Lire la suite