ในวันที่ 7 กรกฎาคม หัวหน้าของหน่วยงานสหประชาชาติซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครอง และหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับผู้ลี้ภัย มีกำหนดเข้าพบนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาของไทยเพื่อพูดคุยถึงโครงสร้างการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในประเทศไทย นับเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ข้าหลวงใหญ่จะมาเยือนประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของการมาเยือนประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของท่าน
จากข้อมูลของ UNHCR ประเทศไทยรองรับผู้ลี้ภัยประมาณ 102,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากเมียนมาที่อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวตามพรมแดนไทย-เมียนมามาเป็นเวลานาน ในจำนวนนี้มี “ผู้ลี้ภัยในเขตเมือง” อีก 8,000 คนซึ่งมาจากปากีสถาน เวียดนาม โซมาเลีย อิรัก ปาเลสไตน์ ซีเรีย จีน และประเทศอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง
แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ.2494 (the 1951 Refugee Convention) หรือ พิธีสารเลือกรับ พ.ศ.2510 (the 1967 Protocol) แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้แสดงพันธกิจอย่างต่อเนื่องที่จะคุ้มครองผู้ลี้ภัยในประเทศไทย รวมทั้งล่าสุดในระหว่างการทบทวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กรณีพันธกิจของไทยที่มีต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) เมื่อเดือนมีนาคม โดยในระหว่างกระบวนการทบทวนดังกล่าว รัฐบาลไทยได้เน้นย้ำพันธกิจที่มีต่อ “หลักมนุษยธรรมและการดูแลผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายกลุ่มต่าง ๆ” ในการแถลงต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำโลกว่าด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ที่กรุงนิวยอร์ก นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะยุติการกักขังผู้ลี้ภัยที่เป็นเยาวชนในประเทศไทย และจะจัดตั้งกลไกการคัดกรองผู้ลี้ภัยที่มีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรียังได้ประกันว่าการเดินทางกลับสู่เมียนมาของผู้ลี้ภัยจะเป็นไปโดยสมัครใจ และจะส่งเสริมให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงบริการด้านการศึกษา สุขภาพ และการแจ้งเกิดให้มากขึ้นในไทย
พันธกิจเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและน่าชื่นชม อย่างไรก็ดี เรายังคงกังวลเนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการตามพันธกิจดังกล่าว และยังไม่มีการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของผู้ลี้ภัยในประเทศไทยดังต่อไปนี้
การส่งกลับ
ที่ผ่านมาประเทศไทยล้มเหลวที่จะเคารพต่อหลักการไม่ส่งกลับ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย และถูกบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในข้อบทที่ 3 ของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และยังเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ โดยห้ามไม่ให้รัฐส่งกลับบุคคลไปยังประเทศซึ่งพวกเขาอาจจะเผชิญกับการทรมานหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่โหดร้าย
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางการไทยได้บังคับส่งกลับผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และบุคคลอื่น ๆ ตามการร้องขอของรัฐบาลต่างชาติต่าง ๆ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่เชื่อถือได้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจต้องประสบการทรมานหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ไทยได้ส่งตัวนายเอ็ม ฟูรกาน เซิกเม็น (M. Furkan Sökmen) สัญชาติตุรกี ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้นำศาสนาชาวตุรกี นายเฟตูเลาะห์ กิวเล็น (Fethullah Gülen) ไปให้ทางการตุรกี แม้ว่าจะมีคำเตือนจากหน่วยงานแห่งสหประชาชาติต่าง ๆ แล้วว่า นายฟูรกานอาจถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หากถูกส่งตัวกลับไป
ตุรกี และในปี 2558 ยังมีรายงานว่าไทยได้ส่งตัวผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นชาวอุยกูร์ เชื้อชาติเตอร์กิก จำนวนประมาณ 100 คน โดยส่วนใหญ่เป็นมุสลิมกลุ่มน้อยในจีน กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า ชาวอุยกูร์ที่กลับสู่จีนต้องประสบกับการประหัตประหาร
เป็นที่ทราบกันดีว่า ทางการไทยใช้วิธีส่งกลับอย่างไม่เป็นทางการ โดยการนำตัวบุคคลเหล่านี้ไปยังพรมแดน และบังคับให้พวกเขาเดินทางเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่มีการใส่ใจอย่างเหมาะสมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อบุคคลเหล่านี้ ประเทศไทยยังดำเนินนโยบาย “อำนวย” หรือ “ผลักดัน” ผู้ลี้ภัยที่พยายามเข้าเมืองทางทะเล ตามนโยบายดังกล่าว ทางการไทยได้สกัดและลากจูงเรือที่มีสภาพเลวร้ายของผู้อพยพออกไปสู่ทะเล นโยบายและการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการละเมิด หลักการไม่ส่งกลับ และก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้ลี้ภัยอย่างรุนแรง แต่จนถึงขณะที่เขียนแถลงการณ์นี้ ยังคงมีนโยบายและการปฏิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปในประเทศไทย
ในเดือนมีนาคม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เน้นย้ำถึงพันธกรณีของไทยที่จะต้อง “กำหนดหลักประกันทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ส่งตัวบุคคลที่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ กลับไปยังประเทศซึ่งมีเหตุผลอย่างหนักแน่นที่เชื่อได้ว่ามีความเสี่ยงอย่างจริงจังที่เขาจะได้รับอันตรายที่สร้างความเสียหายอย่างไม่อาจแก้ไขกลับคืนได้...” ในระหว่างการทบทวนพันธกรณีของไทยตามกติกา ICCPR คณะกรรมการได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับ “รายงานว่ามีการส่งกลับและการบังคับส่งกลับ โดยไม่มีการตรวจสอบหรือไม่มีการประเมินผลอย่างเพียงพอ...” ซึ่งเรามีความกังวลเหล่านี้เช่นกัน
การควบคุมตัวโดยพลการและไม่มีเวลากำหนด
ทางการไทยยังคงควบคุมตัวผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้เข้าเมืองอื่น ๆ ที่ศูนย์กักตัวคนต่างด้าวและสถานที่อื่นซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐโดยพลการ และในบางกรณีเป็นการควบคุมตัวอย่างไม่มีเวลากำหนด แม้ว่าสถานกักตัวคนต่างด้าวของไทยจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการพักพิงเพียงไม่เกิน 15 วัน แต่ปรากฏว่าผู้ลี้ภัยบางส่วนได้ถูกควบคุมตัวที่นี่มาเป็นเวลาหลายปี ในระหว่างการทบทวนพันธกรณีของไทยตามกติกา ICCPR คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับรายงานว่ามีการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยเป็นเวลานาน และเรียกร้องให้รัฐบาลไทย “งดเว้นจากการควบคุมตัวผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และผู้เข้าเมือง และให้ใช้มาตรการอื่นนอกเหนือจากการควบคุมตัว...” รัฐบาลไทยยืนยันในระหว่างการทบทวนดังกล่าวว่า ชาวโรฮิงญา 121 คนจากรัฐยะไข่และบังคลาเทศ ยังคงถูกควบคุมตัวในที่พักพิงซึ่งดำเนินการโดยภาครัฐ โดยที่สิทธิการเดินทางและอิสรภาพของพวกเขาถูกปฏิเสธ
นอกจากข้อกังวลเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยเป็นเวลานานแล้ว เรายังคงกังวลกับสภาพของศูนย์กักตัวคนต่างด้าวของไทยที่ต่ำกว่ามาตรฐาน สถานที่กักตัวในไทยมีลักษณะที่แออัดยัดเยียดอย่างมาก มีสภาพสุขอนามัยที่ย่ำแย่ และการเข้าถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐานเป็นไปอย่างจำกัด รวมทั้ง น้ำสะอาดสำหรับซักล้างและดื่มกิน อาหารที่เพียงพอและมีคุณภาพ ห้องน้ำที่เพียงพอ ทางการยังได้ควบคุมตัวเด็กเพียงเพราะสถานะการเข้าเมืองของพวกเขาหรือของพ่อแม่ของพวกเขา ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก มีรายงานว่าการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลและบริการด้านสุขภาพจิตในศูนย์กักตัวนี้เป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งอาจทำให้เกิดหรือทำให้อาการเจ็บป่วยที่ป้องกันได้แย่ลง รวมถึงการติดเชื้อทางผิวหนังและทางเดินหายใจ และ
โรควัณโรค ในเดือนพฤษภาคม ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวปากีสถานอายุ 36 ปีคนหนึ่งเสียชีวิตที่ศูนย์กักตัวคนต่างด้าวที่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดความตระหนักถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ดังกล่าว
การเข้าถึงสถานะทางกฎหมาย
ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกรอบกฎหมายเพื่อประเมินคำร้องขอลี้ภัย และล้มเหลวที่จะให้สถานะทางกฎหมายแก่ผู้ลี้ภัยในประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ รวมทั้งการควบคุมตัวโดยพลการและไม่มีเวลากำหนด การส่งกลับ และการค้ามนุษย์
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติที่ 10/01 พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นการจัดตั้ง “คณะกรรมการบริหารคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย” เพื่อทำหน้าที่พัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับการคัดกรองและบริหารผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย ซึ่งนับเป็นมาตรการในเชิงบวกเพื่อประกันสิทธิการขอที่ลี้ภัย ซึ่งมีการคุ้มครองไว้ตามข้อ 14 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มติคณะรัฐมนตรีนี้กำหนดกรอบที่จะจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อคัดกรอง และบริหารจัดการคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย แต่หากกลไกการคัดกรองดังกล่าว มีการเลือกปฏิบัติหรือมีหลักเกณฑ์กำหนดที่เข้มงวดอาจทำให้สถานการณ์การให้ความคุ้มครองผู้ขอลี้ภัยแย่ลงแทนที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวในประเทศไทย
เราเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับ UNHCR ภาคประชาสังคม และผู้ลี้ภัยในการจัดทำขั้นตอนปฏิบัติเพื่อประเมินคำร้องขอสถานะผู้ลี้ภัยและการคุ้มครองอย่างสมบูรณ์ อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างเป็นธรรม
การไม่สามารถเข้าถึงการประกอบอาชีพและการคุ้มครองด้านแรงงาน
กฎหมายแรงงานของไทยห้ามไม่ให้ผู้ลี้ภัยทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยต้องเป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งมักเป็นงานที่อันตราย ยากลำบาก และไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งผู้ลี้ภัยไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานอื่น ๆ ของไทย ในหลาย ๆ ครั้ง ผู้ลี้ภัยต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง การถูกเอารัดเอาเปรียบ และอันตรายจากสภาพแวดล้อมของการทำงาน เหล่านี้เป็นการขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights - ICESCR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี ข้อบทที่ 7 ของกติการะบุว่า ประเทศภาคีมีหน้าที่ปกป้องสิทธิของทุกคนที่จะมีสภาพการทำงานที่เป็นธรรมและน่าพึงพอใจ
การเข้าถึงการศึกษา
กฎหมายของไทยกำหนดหลักประกันว่า เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าถึง “การศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพและโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยรัฐต้องจัดให้เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี” โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางกฎหมายของเด็ก อย่างไรก็ดี เด็กซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายที่พักพิงตามพรมแดนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของไทยได้ เนื่องจากการจำกัดสิทธิด้านการเดินทาง อุปสรรคด้านภาษา และการเลือกปฏิบัติของผู้บริหารโรงเรียน การเข้าถึงสถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษายิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้น เด็กซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งถูกควบคุมตัวในศูนย์กักตัวคนต่างด้าว ก็จะถูกควบคุมตัวโดยไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของไทยได้
จากข้อกังวลที่กล่าวถึงข้างต้น เราเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้
• ป้องกันไม่ให้มีการส่งกลับบุคคล ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตหรืออิสรภาพ หากต้องกลับไปที่บ้านเกิดของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาควรสั่งการให้กระทรวงและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องยุตินโยบาย “การอำนวย” และยุติ “การส่งกลับในทางอ้อม” ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ลี้ภัยเสี่ยงจะถูกส่งกลับ
• ยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยโดยพลการและอย่างไม่มีเวลากำหนดในศูนย์กักตัวคนต่างด้าว และสถานกักตัวที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ประกันว่าการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยให้ทำได้เฉพาะกรณีที่เป็นข้อยกเว้นเท่านั้น ภายหลังมีการประเมินในระดับบุคคลแล้ว และหลังจากมีการพิจารณาใช้มาตรการที่เป็นการล่วงละเมิดที่น้อยกว่าการควบคุมตัวจนหมดสิ้นแล้ว และให้ปฏิบัติการในลักษณะที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ
• ร่วมมือกับ UNHCR ภาคประชาสังคม และผู้ลี้ภัย ในการปรึกษาหารืออย่างมีนัยยะ และประกันการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับการวางแผน หรือการดำเนินการตามโครงการเดินทางกลับโดยสมัครใจบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา
• ร่วมมือกับ UNHCR ภาคประชาสังคม และผู้ลี้ภัยในการจัดทำขั้นตอนปฏิบัติเพื่อประเมินคำร้องขอสถานะผู้ลี้ภัยและการคุ้มครองอย่างสมบูรณ์ อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างเป็นธรรม โดยกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย และมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง และสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ประกันว่าบุคคลที่แสวงหาที่ลี้ภัยทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงขั้นตอนการขอที่ลี้ภัย โดยไม่คำนึงว่าจะเข้าเมืองมาในลักษณะใด เข้ามาที่จุดใด หรือเข้ามาเมื่อใด
• ประกันว่าบุคคลซึ่งได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทุกคนในประเทศไทย จะสามารถเข้าถึงเอกสารทางกฎหมาย บริการรักษาพยาบาล ได้รับอนุญาตให้ทำงาน และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ได้รับโอกาสทางการศึกษา และความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ
ให้ภาคยานุวัติต่ออนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ.2494 และพิธีสารเลือกรับ พ.ศ.2510 รวมทั้งสนธิสัญญาที่สำคัญด้านสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ และเพิกถอนข้อสงวนข้อที่ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก