ข้อมูลใหม่ :
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้รับรายงานเกี่ยวกับคำพิพากษาและโทษจำคุกล่าสุดของนางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่มีบทบาทสำคัญและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคประชาชน
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ศาลอาญากรุงเทพฯได้พิพากษาว่านางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว มีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (“หมิ่นประมาทกษัตริย์”) [1] และมาตรา 14 (3) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยลงโทษจำคุก 4 ปี และลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือน เนื่องจากเธอให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี นางสาวชลธิชา ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ในฐานะส่วนหนึ่งของแคมเปญ “ราษฎรสาสน์” ที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ในนั้น เธอได้เขียนจดหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 วิพากษ์วิจารณ์การจัดสรรงบประมาณราชสำนัก และย้ำข้อเรียกร้องของขบวนการเพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ทีมทนายความของเธอได้เตรียมยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวทันทีหลังมีคำพิพากษา เนื่องจากหากถูกคุมขังจะกระทบต่อสถานะการดำรงตำแหน่ง ส.ส. ศาลอาญากรุงเทพฯ ได้ส่งคำร้องประกันตัวไปยังศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยกำหนดหลักทรัพย์ 300,000 บาท
คำพิพากษานี้เกิดขึ้นหลังจากที่นางสาวชลธิชาเคยถูกลงโทษจำคุกในอีกคดีหนึ่ง ภายใต้มาตรา 112 มาก่อนแล้ว เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาจำคุกเธอเป็นเวลา 2 ปี จากกรณีการปราศรัยในการชุมนุมโดยสงบที่อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เมื่อเดือนกันยายน 2564 โดยในวันเดียวกัน ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยวางหลักทรัพย์ 150,000 บาท ศาลจังหวัดธัญบุรีมีกำหนดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวตามคำอุทธรณ์ของนางสาวชลธิชาในวันที่ 30 กันยายน 2568
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนตระหนักว่านางสาวชลธิชาเผชิญกับการคุกคามทางกฎหมายและการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของเธอมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ปี 2558 เธอถูกดำเนินคดีทางอาญาประมาณ 30 คดี โดยส่วนใหญ่เป็นข้อหาที่มีแรงจูงใจทางการเมือง รวมถึงข้อหาตามมาตรา 112 (“หมิ่นประมาทกษัตริย์”) และข้อหาตามมาตรา 116 (“ยุยงปลุกปั่น”)
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนตระหนักว่า คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (CEDAW) ได้แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อความรุนแรง การคุกคาม และการคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรมที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสตรีในประเทศไทยเผชิญ รวมถึงการคุมขังก่อนการพิจารณาคดีเป็นเวลานาน และข้อหาทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน CEDAW ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยจัดสร้าง “สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย” ให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสตรีสามารถใช้สิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ และได้แนะนำให้แก้ไขมาตรา 112 (หมิ่นประมาทกษัตริย์) และ 116 (ยุยงปลุกปั่น) ของประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันการนำกฎหมายเหล่านี้มาใช้ในทางที่ผิด
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลว่า ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ถึง 1 กันยายน 2568 มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้วถึง 284 คน รวมทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก และเด็ก 20 คน โดย ณ วันที่ 29 กันยายน 2568 มีผู้ถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาหรืออุทธรณ์ 18 คน และอีก 11 คนกำลังรับโทษจำคุก ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เยาวชนนักกิจกรรม เนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง) ซึ่งถูกควบคุมตัวอย่างพลการภายใต้ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง หลังจากอดอาหารประท้วงมาเป็นเวลานานก่อนจะยุติลงในเดือนเมษายน 2567
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนประณามอย่างรุนแรงต่อคำพิพากษาและการใช้กระบวนการยุติธรรมคุกคาม นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าเป็นการมุ่งลงโทษเธอจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างชอบธรรม และจากการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย ยุติการคุกคามทางกฎหมายทุกรูปแบบต่อเธอและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทุกคนที่กำลังถูกดำเนินคดี โดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข
ข้อเรียกร้องให้ดำเนินการ :
– โปรดเขียนถึงเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยเพื่อขอให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ :
– รับรองถึงความปลอดภัยทางร่างกายและสุขภาวะทางจิตใจในทุกกรณี ของนางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ตลอดจนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทุกคนในประเทศไทย
– เพิกถอนคำพิพากษาต่อ นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว และยุติการคุกคามทุกรูปแบบ รวมทั้งในเชิงกระบวนการยุติธรรม ที่มีต่อเธอและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมดในประเทศ และรับประกันว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างชอบธรรมได้โดยปราศจากอุปสรรคและความหวาดกลัวต่อการถูกตอบโต้
– รับรองสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบในทุกกรณี ตามที่ได้รับการคุ้มครองในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามมาตรา 19 และ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี
– งดเว้นจากการใช้มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
ที่อยู่ :
– นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย, อีเมล : spmwebsite@thaigov.go.th
– นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, อีเมล : minister@mfa.go.th
– นายรุทธพล เนาวรัตน์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, อีเมล : complainingcenter@moj.go.th
– พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์, ผู้บัญชาการทหารบก, อีเมล : webadmin@rta.mi.th
– พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, อีเมล : info@royalthaipolice.go.th
– นางพรประไพ กาญจนรินทร์, กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, อีเมล : help@nhrc.or.th, info@nhrc.co.th
– เอกอัครราชทูต อุศณา พีรานนท์, ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส, อีเมล : thaimission.GVA@mfa.mail.go.th
– เอกอัครราชทูต กาญจนา ภัทรโชค, เอกอัครราชทูต ณ ประเทศเบลเยียม และราชอาณาจักรลักเซมเบิร์ก และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป, อีเมล : thaiembassy.brs@mfa.go.th
โปรดเขียนถึงผู้แทนการทูตของประเทศไทยในประเทศที่ท่านพำนักอยู่ด้วย
***
ปารีส-เจนีวา, 30 กันยายน 2568
กรุณาแจ้งให้เราทราบถึงการดำเนินการใด ๆ ที่ท่านได้กระทำ โดยกรุณาอ้างอิงรหัสของคำร้องนี้ในคำตอบของท่าน
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน(The Observatory for the Protection of Human Rights Defenders – “Observatory”) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยสหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) และองค์การต่อต้านการทรมานโลก (OMCT) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์การปราบปรามที่กระทำต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ทั้ง FIDH และ OMCT เป็นสมาชิกของ ProtectDefenders.eu กลไกปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของสหภาพยุโรปที่ดำเนินการโดยภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ
สำหรับการติดต่อกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กรุณาใช้สายด่วนฉุกเฉิน
• อีเมล : alert@observatoryfordefenders.org
• โทรศัพท์ FIDH : +33 (0) 1 43 55 25 18
• โทรศัพท์ OMCT : +41 (0) 22 809 49 39