คำอธิบายสถานการณ์ :
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้รับรายงานเกี่ยวกับการตัดสินลงโทษ การพิพากษาจำคุก และการควบคุมตัวโดยพลการของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย 7 คน ได้แก่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) นายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ และนักเคลื่อนไหวอีก 2 คน
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จังหวัดนครราชสีมา มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ที่ตัดสินลงโทษนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) และนายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (“หมิ่นประมาทกษัตริย์”) [1] โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโทษจำคุก 3 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ ศาลมีความเห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้เอ่ยชื่อพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่ถ้อยคำของพวกเขามีความหมายพาดพิงทั้งต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 คำพิพากษานี้จึงวางบรรทัดฐานว่ามาตรา 112 มิได้คุ้มครองการหมิ่นประมาทเฉพาะกษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงกษัตริย์องค์ก่อน ๆ และขยายความคุ้มครองไปถึงสถาบันกษัตริย์ในฐานะสถาบัน ไม่ใช่เพียงตัวบุคคล ได้แก่ กษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ศาลฎีกาปฏิเสธคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) และนายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) โดยให้เหตุผลถึงความร้ายแรงของข้อหาและความเสี่ยงต่อการหลบหนี ทีมทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยเพิ่มหลักทรัพย์จาก 300,000 บาท เป็น 700,000 บาท แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ในเวลาที่มีการเผยแพร่คำเตือนเร่งด่วนนี้ ทั้งสองยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
ทั้งนี้ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) และนายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหลายมาตรา รวมถึงมาตรา 112 และมาตรา 116 (“ยุยงปลุกปั่น”) จากกรณีการปราศรัยในการชุมนุมโดยสงบหน้าสถานีตำรวจภูเขียวและโรงเรียนภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ต่อมาในเดือนกันยายน 2567 ศาลจังหวัดภูเขียวได้มีคำพิพากษาว่าทั้งสองมีความผิดข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ และยกฟ้องข้อหาอื่น โดยพิพากษาจำคุก 3 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์
ในอีกคดี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯได้พิพากษากลับคำตัดสินของศาลอาญาเมื่อปี 2566 ที่ยกฟ้อง นายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ ปานประเสริฐ และบุคคลอีกสองคน โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 [2] (“การใช้ความรุนแรงต่อเสรีภาพของพระราชินี”) มาตรา 215 [3] (“การมั่วสุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”) และมาตรา 385 [4] (“กีดขวางการจราจร”) ศาลได้พิพากษาจำคุกนายเอกชัย หงส์กังวาน เป็นเวลา 21 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยอีก 4 คน รวมถึงนายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) และนายสุรนาถ ปานประเสริฐ ถูกตัดสินจำคุกคนละ 16 ปี
ข้อหาดังกล่าวมีที่มาจากการที่จำเลยทั้งห้าอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมโดยสงบใกล้บริเวณขบวนเสด็จพระราชินีใกล้ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จ จึงพิพากษากลับคำตัดสินยกฟ้องของศาลอาญาเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 ซึ่งได้วินิจฉัยก่อนหน้านี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความเข้าใจผิดระหว่างทุกฝ่าย และความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจัดการเส้นทางขบวนเสด็จและแจ้งเตือนผู้ชุมนุม
ภายหลังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งปฏิเสธการประกันตัวจำเลยทั้งห้า โดยให้เหตุผลว่าข้อหามีความร้ายแรงและมีความเสี่ยงต่อการหลบหนี ปัจจุบันนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งห้ายังคงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลว่า ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ถึง 1 กันยายน 2568 มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้ว 284 คน รวมทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจำนวนมากและเด็ก 20 คน โดยในจำนวนนี้ 18 คนถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาหรืออุทธรณ์ และอีก 11 คนกำลังรับโทษจำคุก ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 นักกิจกรรมเยาวชน เนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง) ผู้ซึ่งถูกควบคุมตัวโดยพลการภายใต้ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง หลังจากอดอาหารประท้วงเป็นเวลานานที่สิ้นสุดในเดือนเมษายน 2567
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขอประณามอย่างรุนแรงต่อการควบคุมตัวโดยพลการของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งเจ็ดคน รวมทั้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ยืนตามโทษจำคุกต่อ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) และนายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) ตลอดจนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กรุงเทพมหานครที่กลับคำยกฟ้องนายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ ปานประเสริฐ และจำเลยอีกสองคน การกระทำเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงความพยายามที่จะลงโทษพวกเขาอันเนื่องมาจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ชอบธรรม และการใช้สิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขอเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ไทยให้ ปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งเจ็ดคนในทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข และยุติการคุกคามทางกฎหมายทุกรูปแบบที่มีต่อพวกเขาและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมดที่กำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในปัจจุบัน
ข้อเรียกร้องให้ดำเนินการ :
โปรดเขียนถึงเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยเพื่อขอให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ :
– รับรองในทุกกรณีถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและสุขภาวะทางจิตใจ ของ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่) นายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ รวมทั้งบุคคลอีกสองคน ตลอดจนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทุกคนในประเทศไทย
– ปล่อยตัวในทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข ต่อนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่)นายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ รวมทั้งบุคคลอีกสองคน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมดที่ถูกคุมขัง เนื่องจากการควบคุมตัวดังกล่าวมีลักษณะเป็นเพียงการลงโทษพวกเขาจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ชอบธรรม
– เพิกถอนคำพิพากษาและโทษจำคุก ของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่) นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่)นายเอกชัย หงส์กังวาน นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง (ฟรานซิส) นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ และบุคคลอีกสองคน พร้อมทั้ง ยุติการคุกคามทุกรูปแบบ รวมถึงในกระบวนการยุติธรรม ที่มีต่อพวกเขาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมดในประเทศ และรับประกันว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนได้โดยปราศจากอุปสรรคและความหวาดกลัวต่อการถูกตอบโต้
– รับรองในทุกกรณีถึงสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ ตามที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะตามมาตรา 19 และ 21 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี
– งดเว้นจากการใช้มาตรา 110 และมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
ที่อยู่ :
• นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย, อีเมล : spmwebsite@thaigov.go.th
• นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, อีเมล : minister@mfa.go.th
• นายรุทธพล เนาวรัตน์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, อีเมล : complainingcenter@moj.go.th
• พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์, ผู้บัญชาการทหารบก, อีเมล : webadmin@rta.mi.th
• พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, อีเมล : info@royalthaipolice.go.th
• นางพรประไพ กาญจนรินทร์, กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, อีเมล : help@nhrc.or.th, info@nhrc.co.th
• เอกอัครราชทูต อุศณา พีรานนท์, ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส, อีเมล : thaimission.GVA@mfa.mail.go.th
• เอกอัครราชทูต กาญจนา ภัทรโชค, เอกอัครราชทูต ณ ประเทศเบลเยียม และราชอาณาจักรลักเซมเบิร์ก และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป, อีเมล : thaiembassy.brs@mfa.go.th
โปรดเขียนถึงผู้แทนการทูตของประเทศไทยในประเทศที่ท่านพำนักอยู่ด้วย
***
ปารีส-เจนีวา, 30 กันยายน 2568
กรุณาแจ้งให้เราทราบถึงการดำเนินการใด ๆ ที่ท่านได้กระทำ โดยกรุณาอ้างอิงรหัสของคำร้องนี้ในคำตอบของท่าน
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน(The Observatory for the Protection of Human Rights Defenders – “Observatory”) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยสหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) และองค์การต่อต้านการทรมานโลก (OMCT) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันหรือแก้ไขสถานการณ์การปราบปรามที่กระทำต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ทั้ง FIDH และ OMCT เป็นสมาชิกของ ProtectDefenders.eu กลไกปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของสหภาพยุโรปที่ดำเนินการโดยภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ
สำหรับการติดต่อกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กรุณาใช้สายด่วนฉุกเฉิน
• อีเมล : alert@observatoryfordefenders.org
• โทรศัพท์ FIDH : +33 (0) 1 43 55 25 18
• โทรศัพท์ OMCT : +41 (0) 22 809 49 39